This repository was archived by the owner on May 25, 2020. It is now read-only.
-
Notifications
You must be signed in to change notification settings - Fork 1
/
Copy pathblog-to-book.tex
198 lines (114 loc) · 17.3 KB
/
blog-to-book.tex
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90
91
92
93
94
95
96
97
98
99
100
101
102
103
104
105
106
107
108
109
110
111
112
113
114
115
116
117
118
119
120
121
122
123
124
125
126
127
128
129
130
131
132
133
134
135
136
137
138
139
140
141
142
143
144
145
146
147
148
149
150
151
152
153
154
155
156
157
158
159
160
161
162
163
164
165
166
167
168
169
170
171
172
173
174
175
176
177
178
179
180
181
182
183
184
185
186
187
188
189
190
191
192
193
194
195
196
197
198
%!TEX TS-program = xelatex
%!TEX encoding = UTF-8 Unicode
\documentclass[12pt]{book}
\usepackage{b2b/blog-to-book}
\title{\ltc{\LaTeX} Guide}
\include{b2b/blog-to-book-begin}
\posttitle{ขั้นตอนการทำ latex}
\begin{enumerate}
\item โหลดโปรแกรมที่ใช้งาน
\begin{itemize}
\item MikTeX จาก http://miktex.org/
\item DIP SIPA Fonts โหลดได้จาก http://www.thaiopensource.org/download/ฟอนต์-sipa-dip
\item Git for Windows (msysGit) โหลดได้จาก http://code.google.com/p/msysgit/downloads/list
\item blog-to-book download ด้วย git จาก http://github.com/thawatchai/blog-to-book ควรใช้\\
git อย่าใช้“Download Source” ที่มุมขวาบน เพราะจะทำให้การ upgrade ลำบาก
\end{itemize}
\item ติดตั้งโปรแกรม MikTeX, dip sipa font, msysGit
\item สมัครสมาชิก เว็บไซด์ Git ที่ https://github.com/signup/free
\item เปิดโปรแกรม msysGit เพื่อ download โค้ด โดยใช้คำสั่ง git clone git://github.com/thawatchai/blog-to-book.git blogtobook
\item เปิดไฟล์ blog-to-book.tex ด้วยโปรแกรม MikTeX เพื่อที่จะเขียนหนังสือ และแปลงเป็นไฟล์ pdf
\end{enumerate}
\newpage
\posttitle{โครงสร้าง folder ของหนังสือ}
ใน folder ของหนังสือเล่มหนึ่ง ๆ จะประกอบด้วยไฟล์ต่อไปนี้
\begin{itemize}
\item \texttt{blog-to-book.tex}
\item \texttt{blog-to-book.pdf}
\end{itemize}
ไฟล์สองไฟล์นี้เป็นไฟล์ของเอกสารนี้
และไฟล์ใน folder ย่อย b2b/
\begin{itemize}
\item \texttt{b2b/blog-to-book.sty}
\item \texttt{b2b/blog-to-book-begin.tex}
\item \texttt{b2b/blog-to-book-end.tex}
\end{itemize}
ไฟล์เหล่านี้คือไฟล์เพื่อช่วยในการทำหนังสือ
ผู้จัดหนังสือจะสร้างไฟล์ของหนังสือนั้น ๆ เช่น \texttt{abc.tex}ใน folder หลักและพิมพ์แก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลของหนังสือในไฟล์นี้ หลังจากสั่งโปรแกรมทำงานเพื่อสร้างไฟล์หนังสือจะได้ไฟล์ PDF และไฟล์ประกอบอื่น ๆ ไฟล์เหล่านั้นสามารถลบทิ้งได้
\posttitle{โครงสร้างไฟล์หนังสือ}
หนังสือหนึ่งเล่มจะเริ่มต้นด้วยโครงสร้างไฟล์ดังต่อไปนี้
\begin{verbatim}
%!TEX TS-program = xelatex
%!TEX encoding = UTF-8 Unicode
\documentclass[12pt]{book}
\usepackage{b2b/blog-to-book}
\title{book title goes here}
\author{
\textbf{author name is here} \\
\texttt{GotoKnow.org/profile/<author's username>}
}
\include{b2b/blog-to-book-begin}
% book contents go here ....................
\include{b2b/blog-to-book-end}
\end{verbatim}
ในแต่ละบันทึก ต้องจัดโดยมีโครงสร้างดังต่อไปนี้
\begin{verbatim}
\posttitle{post title here}
\postdate{post date here}
paragraph 1 ................
paragraph 2 .................................
paragraph 3 .....................................................
\end{verbatim}
โดยในเนื้อหาของแต่ละ paragraph นั้นสามารถใช้ link, textbf, emph, itemize, description, และ \ltc{\LaTeX} tag อื่น ๆ ได้ตามที่ผู้เขียนบันทึกนั้น ๆ ทำไว้ในเว็บไซต์
ส่วน ``คำนำ" และ ``เกี่ยวกับผู้เขียน" ให้จัดเสมือนว่าเป็นบันทึกหนึ่ง
\posttitle{tags สำหรับ blog-to-book}
ในการจัดบันทึกหนึ่ง ๆ สำหรับหนังสือ blog-to-book นั้น ผู้จัดต้องใช้ tags ต่าง ๆ ต่อไปนี้
\begin{description}
\item[\textbackslash posttitle] tag นี้มีไว้ใส่ชื่อบันทึก ใช้ดังนี้ \texttt{\textbackslash posttitle\{title text\}} (ให้ใช้ postinfo แทน)
\item[\textbackslash postdate] tag นี้มีไว้เพื่อใส่เวลาเขียนบันทึกนั้น ใช้ดังนี้ \texttt{\textbackslash postdate\{date\}} (ให้ใช้ postinfo แทน)
\item[\textbackslash postauthor] tag นี้มีไว้เพื่อใส่ชื่อผู้เขียนนั้น ใช้ดังนี้ \texttt{\textbackslash postauthor\{author\}} (ให้ใช้ postinfo แทน)
\item[\textbackslash posturl] tag นี้มีไว้เพื่อใส่ URL ของบันทึกนั้น ใช้ดังนี้ \texttt{\textbackslash posturl\{url\}} (ให้ใช้ postinfo แทน)
\item[\textbackslash postinfo] เป็น tag รวมของ tag ทั้งหมดข้างต้น ใช้ดังนี้ \texttt{\textbackslash postinfo\{title\}\{author\}\{url\}\{date\}}
\item[\textbackslash link] tag นี้มีไว้เพื่อใส่ลิงก์ในเนื้อหาของบันทึก ใช้ดังนี้ \texttt{\textbackslash link\{Giving = Happiness\}\{http://www.worldchanging.com/archives/007907.html\}} เมื่อใส่แล้วลิงก์จะกลายเป็น footnote ของเนื้อหานั้น (\link{ดูตัวอย่าง}{http://www.worldchanging.com/archives/007907.html})
\end{description}
นอกจากนี้ผู้จัดสามารถใช้ tag อื่น ๆ ของ \ltc{\LaTeX} ได้ตามปกติ อาทิเช่น
\begin{description}
\item[\textbackslash textbf] tag นี้มีไว้เน้นความสำคัญทำให้เป็น \textbf{ตัวหนา} ใช้ดังนี้ \texttt{\textbackslash textbf\{text to bold\}}
\item[\textbackslash emph] tag นี้มีไว้เน้นความสำคัญทำให้เป็น \emph{ตัวเอียง} ใช้ดังนี้ \texttt{\textbackslash emph\{text to italic\}}
\item[includegraphics] ดูรายละเอียดจาก \url{http://en.wikibooks.org/wiki/LaTeX/Importing_Graphics}
\item[description]
\item[itemize]
\item[enumerate]
\item[table]
\end{description}
อ่าน \url{http://en.wikibooks.org/wiki/LaTeX/Formatting} เพื่อรายละเอียดเพิ่มเติม\\
หรือโหลดเอกสารจาก \url{www.eng.cam.ac.uk/help/tpl/textprocessing/ltxprimer-1.0.pdf}
\posttitle{เรื่องต้องระวัง}
\begin{itemize}
\item การใส่เครื่องหมายคำพูดนั้น เครื่องหมายเปิดต้องใส่ด้วย \texttt{``} และเครื่องหมายปิดด้วย \texttt{"} จะได้ผลลัพธ์เป็น ``ดังนี้'' หากใส่ \texttt{"} ทั้งหัวท้ายแล้วจะได้ผลลัพธ์เป็น "ดังนี้"
\item ประโยคยาว ๆ ที่ไม่ได้เว้นวรรคเลย ระบบจะตัดคำไม่ถูกต้อง หรือไม่ก็จะจัดกั้นหลังได้ไม่สวย ให้เพิ่มวรรค หรือปรับประโยคให้เว้นวรรคได้ (ควรถามผู้เขียนก่อนด้วย)
\end{itemize}
\postinfo{ตัวอย่าง: พิสูจน์แล้ว การให้มีความสุขกว่าการรับ}{ผศ.ดร.ธวัชชัย ปิยะวัฒน์}{http://gotoknow.org/blog/averageline/175334}{4 เมษายน 2551}
ข่าวใหญ่ประจำวันนี้ครับ เป็นข่าวใหญ่ในความรู้สึกผม แต่ไม่ได้เป็นข่าวใหญ่ที่สำนักข่าวไหน ๆ นำไปเป็นข่าวสำคัญครับ
ข่าวนั้นคือ ``นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว การให้มีความสุขกว่าการรับ เพราะการให้คือความสุขที่แท้จริง"
ผมอ่านข่าวนี้มาจาก \link{Giving = Happiness}{http://www.worldchanging.com/archives/007907.html} เป็นข่าวที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง
นักวิจัยจาก University of British Columbia (UBC) ได้ค้นพบว่า ``การให้มีความสุขกว่าการรับ" ครับ โดยใช้การทดลองกับกลุ่มตัวอย่างโดยให้เงินแล้วทดสอบทางจิตวิทยาในภายหลัง พบว่ากลุ่มที่ให้นำเงินไปใช้ประโยชน์แก่คนอื่นเป็นกลุ่มที่สมองส่วนแสดงความสุขทำงานดีกว่ากลุ่มที่ให้เอาเงินไปใช้ประโยชน์แก่ตัวเอง
งานวิจัยนี้ทดลองในสามกลุ่มตัวอย่างนะครับ ทั้งในระดับประเทศ ระดับองค์กร และระดับนักศึกษามหาวิทยาลัย ปรากฎว่าผลออกมาตรงกันหมดเลยครับ ทุกกลุ่มตัวอย่างมีความสุขในการให้มากกว่าการรับจริง ๆ
และในงานทดลองอีกชิ้นที่เกี่ยวข้องกันนั้นพบว่า ความสุขในการ ``มั่งมี" ของคนเรานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับปริมาณที่มี แต่เกี่ยวข้องกับการเปรียบเทียบการ ``มั่งมี" นั้นกับคนอื่น
ผลการทดลองบอกว่า คนที่มีเงินร้อยล้านไม่ค่อยมีความสุขเมื่ออยู่กับคนที่มีเงินพันล้าน ส่วนคนที่มีเงินแสนที่อยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงที่มีเงินหมื่นมีความสุขในชีวิตมากกว่าคนที่มีเงินร้อยล้านนั้น
เรื่องนี้น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นการพิสูจน์ว่า หากอยากจะรวยแล้ว รวยยังไงก็ไม่มีวันได้ ``รวยจริงๆ" หรอก
และในอีกงานทดลองหนึ่งพบว่า ``การสูญเสียกระทบจิตใจรุนแรงมากกว่าการได้รับ" หมายความว่า หากคนหนึ่งได้เงินแสนจะมี "ความรุนแรง" ของความรู้สึกดีใจน้อยกว่า ``ความรุนแรง" ของความรู้สึกของคนนั้นหากต้องสูญเสียเงินหมื่นครับ
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวันของเรา แต่คราวนี้นักวิจัยได้พิสูจน์ออกมาแล้วอย่างถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็ยิ่งเป็นสิ่งย้ำเตือนให้เรารู้ว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไรครับ
ท้ายสุดงานทดลองเหล่านี้พิสูจน์ว่า หากต้องการกระตุ้นสมองให้มีความสุขนั้น ใช้เงินไม่มากครับ ใช้เงินเพียง 5 ดอลล่าร์ต่อวันทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อคนอื่นเท่านั้นสมองก็ถูกกระตุ้นให้มีความสุขได้แล้วครับ
ผมลองมานึกปรับยอดเงิน 5 ดอลล่าร์มาเป็นเงินบาท ก็จะได้ประมาณ 30-40 บาทครับ เปรียบเทียบจากราคา BigMc ซึ่งราคาประมาณ 4.99 ดอลล่าร์ตอนสมัยผมยังอยู่ที่อเมริกา
ไม่ได้แปลงตามอัตราแลกเปลี่ยนนะครับ แต่แปลงตามการใช้ประโยชน์ของเงินจำนวนนั้นครับ คือ 5 ดอลล่าร์กินอาหารแบบราคาถูกในแคนาดา (สถานที่ทำวิจัยตามข่าว) ได้มื้อหนึ่ง 30-40 บาทก็กินอาหารในคุณภาพเดียวกันได้มื้อหนึ่งในประเทศไทยเช่นกันครับ
สรุปว่าถ้าเราใช้เงินเพื่อประโยชน์แก่คนอื่นประมาณวันละ 30-40 บาททุกวัน เราจะเป็นบุคคลที่มีความสุขทุกวันเลยครับ
คิดดูดี ๆ แล้ว ความสุขในชีวิตนี่หาง่ายจริง ๆ ทำไมคนบางคนถึงต้องดิ้นรนมากมายนักก็ไม่รู้ครับ
\newpage
\noindent\textbackslash postinfo\{ตัวอย่าง: พิสูจน์แล้ว การให้มีความสุขกว่าการรับ\}\{ผศ.ดร.ธวัชชัย ปิยะวัฒน์\}\{http://gotoknow.org/blog/averageline/175334\}\{4 เมษายน 2551\} \\
\noindent ข่าวใหญ่ประจำวันนี้ครับ เป็นข่าวใหญ่ในความรู้สึกผม แต่ไม่ได้เป็นข่าวใหญ่ที่สำนักข่าวไหน ๆ นำไปเป็นข่าวสำคัญครับ \\
\noindent ข่าวนั้นคือ ``นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว การให้มีความสุขกว่าการรับ เพราะการให้คือความสุขที่แท้จริง" \\
\noindent ผมอ่านข่าวนี้มาจาก \textbackslash link\{Giving = Happiness\}\{http://www.worldchanging.com/archives/007907.html\} เป็นข่าวที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง \\
\noindent นักวิจัยจาก University of British Columbia (UBC) ได้ค้นพบว่า ``การให้มีความสุขกว่าการรับ" ครับ โดยใช้การทดลองกับกลุ่มตัวอย่างโดยให้เงินแล้วทดสอบทางจิตวิทยาในภายหลัง พบว่ากลุ่มที่ให้นำเงินไปใช้ประโยชน์แก่คนอื่นเป็นกลุ่มที่สมองส่วนแสดงความสุขทำงานดีกว่ากลุ่มที่ให้เอาเงินไปใช้ประโยชน์แก่ตัวเอง \\
\noindent ...........................
\include{b2b/blog-to-book-end}